VPN หมายถึงอะไร?
ถ้าเกิดว่าระยะทางตัวเราไปถึงปลายทางอาจจะไกลสักหน่อยไปรษณีอาจจะไม่ส่งตรงอาจจะส่งไปพักที่จุดพักของจุดหมายบางจุดที่เป็นจุดพักแล้วก็รวบรวมจดหมายที่่ปลายทางเดียวกันแล้วค่อยส่งต่อจดหมายของเราจะไปที่จุดพักจุดไหนมันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของไปรษณี แต่บางทีจุดพักจุดหมายที่ไปรษณีใข้ประจำอยู่กลางทางมันอาจจะเป็นช่วงเทศกาลแล้วจดหมายเยอะมากไปรษณีอาจจะส่งไปจุดพักเดิมไม่ได้แล้วจดหมายมันเยอะไปก็อาจจะส่งไปจุดอื่นที่อยู่ไกลกว่าหน่อยอาจจะอ้อมไปสักนึดนึงแต่ว่าไม่มีจดหมายเข้ามาเยอะจนเกินไปอันนี้ก็จะเป็นเรื่องของการกระจายงานของ Load Balance
ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ นโยบายการจัดการของทางไปรษณีที่นี้ถ้าเกิดจะเปรียบเทียบกับโลกอินเตอร์เน็ตจุดพักจดหมายเหล่านี้ก็จะเปรียบเหมือนกับ Gateway ต่างๆของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต packet ที่คุณส่งไปหาปลายทางจะวิ่งผ่าน Gateway ตรงไหนก็เป็นเรื่องของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตเป็นคนตัดสินใจบ้างทีเค้าอาจจะส่ง Packet ของคุณตรงๆหรือว่าอาจจะส่งอ้อมๆอันนี้ก็แล้วแต่โอกาสและก็สถานการณ์
แล้ว VPN มันคืออะไรละ?
ถ้าผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตทั่วไปเป็นไปรษณีทางด้าน VPN ( Virtual Private Network ) ก็จะเป็นเหมือนขนส่งเอกชน เช่นพวก Kerry , Flash , DSL โดยพวกนี้เค้าก็จะมีที่พักจดหมายเป็นของตัวเองโดยที่เค้าไม่ต้องไปใช้ร่วมกับของไปรษณี สั่นๆง่ายๆเลยก็คือผู้ให้บริการ VPN เค้าจะมี Gateway เป็นของตัวเองและเค้าสามารถที่จะควบคุมได้ว่าเค้าอยากจะส่ง Packet ไปทางไหนอย่างเช่น บางทีช่วงที่คนใช้เน็ตเยอะ Gateway ของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตของเรามันอาจจะติดขัดถ้าเกิดว่าเรามาใช้ VPN Gateway อันนี้อาจจะโล่งกว่าอาจจะทำให้ Packet ของเราส่งได้เร็วกว่าแต่นั้นก็ไม่เสมอไป
บางทีก็มีโอกาสที่ถ้าเกิดใช้ VPN แล้วอาจจะส่งช้ากว่าไม่ใช้ และอีกเรื่องหนึ่งก็คือการใช้งาน VPN อาจจะแตกต่างกับการใช้งานขนส่งเอกชนก็ตรงที่ว่าคุณจะต้องมีอินเตอร์เน็ตในการ เชื่อมต่อเข้ากับตัว VPN Server ดังนั้นถ้าจะเปรียบเทียบแบบขนส่งก็คือว่าคุณส่งจดหมายของคุณให้ไปรษณีให้ไปรษณีเอาไปส่งเคอรี่แล้วให้เคอรี่ส่งไปหาปลายทางอีกทีนึงซึ่ง Packet ของคุณจะไปถึงปลายทางเร็วกว่าเดิมหรือว่าช้ากว่าเดิมอันนี้ก็แล้วแต่สถานการณ์มันไม่ใข่เร็วขึ้นเสมอไป และนั้นก็คือหลักการทำงานคราวๆ ของ VPN
ประโยชน์ของ VPN
อันดับแรกเรามาพูดถึงเรื่อง Privacy หรือ ความเป็นส่วนตัวกันก่อนเรื่อนนี้ถ้าเกิดใครดูโฆษณา VPN เค้าจะเองเป็นตัวชูโรงเลยว่า " ความเป็น privacy สูงมาก ไม่มีใครตรวจจับได้ ปลอดดภัย และอื่นๆอีกมากมาย " จริงๆแล้วมันเป็นยังไง อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่าถึงแม้ว่าเราจะใช้ VPN เนี้ยยังไงเราก็ยังต้องส่ง Packet ของเราผ่านผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต( ISP )ไปหา VPN อยู่ดีแล้วอย่างนี้ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต( ISP )เค้าจะไม่รู้ได้ยังไงจริงๆแล้วหลักการทำงานก็คือว่า เรามีจุดหมายเราปกติเลยใส่ซองจ่าหน้าซองจาก A ถึง B ทีนี้ก่อนที่เราจะส่งไปให้ VPN เราเอาอีกซองนึงมาใส่มาคลุมไว้เขียนว่าจาก A ถึงผู้ให้บริการ VPN เท่านั้นเสร็จแล้วเราก็เข้ารหัสจดหมายของเราซะเท่านี้ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตก็จะมองไม่เห็นแล้วว่าจริงๆแล้วเราคุยกับใคร
พอจดหมายของเราไปถึงผู้ให้บริการ VPN แล้วเค้าก็จะถอดรหัสจดหมายของเราออกมาแล้วก็ดูว่าเราต้องการส่งไปไหนแล้วก็จะเอาข้อความไปส่งให้เราซึ่งก็คือ VPN จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการสื่อสารนั้นเองก็คือจะเห็นว่าเราใช้ VPN แต่เค้าไม่รู้ว่าเราเข้าเว็บไหนเราทำอะไรและปลายทางก็จะไม่รู้เหมือนกันว่าข้อความนี้มาจากเราก็จะเห็นว่ามาจาก VPN นี้ละ ดังนั้นเวลาเราเข้าใช้งานเว็บไซต์ต่างๆหรือว่า Server ต่างๆผ่าน VPN ตัว Server ต่างๆก็จะไม่รู้จัก IP address ของเราถ้าเกิดว่าเราไม่ได้ยืนยันตัวตนบนเว็บนั้นเค้าก็จะไม่รู้ว่าเป็นใคร ก็คือว่าที่ปลายทางจะหาต้นทางเจอค่อยข้างยาก ใช้คำว่าค่อนข้างยากไม่ได้แปลว่าเป็นไปไม่ได้
และด้วยความที่ปลายทางจะเห็นแค่ IP address ของ exit node " (gateway) สุดท้ายก่อนออก VPN "ของผู้ให้บริการ VPN ก็เลยทำให้เกิดประโยชน์อย่างนึงขึ้นมาก็คือ การมุดนั้นเอง เพราะว่าบริการ VPN ส่วนใหญ่จะมี exit node อยู่ทั่วโลก ดังนั้นเราอาจจะตั้งค่าว่าไปออกที่บลาซิล ก็จะได้เป็น IP Address ของบลาซิล ถ้าเกิดเลือกให้ไปออกที่ญี่ปุ่น IP Address ปลายทางก็จะเห็นว่ามาจากญี่ปุ่นนั่นก็เลยเป็นสาเหตุว่าทำไมเราสามารถใช้ VPN ในการแก้บล็อค IP Address ของประเทศต่างๆได้ ซึ่งจริงๆแล้วประโยชน์สูงสุดของ VPN ก็จะเป็นเรื่องของการมุดอะไรพวกนี้มากกว่า
คือการปลอมว่าเราออกมาจาก IP ประเทศนี้แต่ว่าการทำแบบนี้อาจจะส่งผลเสียในเรื่องของความเร็ว ลองนึงถึงสภาพว่าตัวคุณอยู่ประเทศไทย Server ตั้งอยู่ประเทศไทยแต่ว่าใช้ VPN แล้วเลือก exit node ที่ อเมริกา packet ของคุณแทนที่จะส่งจากไทยถึงไทย ก็กลายเป็น จากไทย ถึง อเมริกา แล้วก็กลับมาไทยอีกทีนึงซึ่งมันก็จะนานกว่าแต่ว่าตัว Server เค้าก็จะเห็นว่าคุณเข้ามาจากอเมริกานะ
เรื่องของความปลอดภัย
ก็คือตอนนี้ ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP) ของคุณไม่รู้แล้วว่าคุณเข้าเว็บอะไรบ้างคุณคุยกะใครบ้างแต่ว่าคนที่รู้ก็คือผู้ให้บริการ VPN เพราะว่าไม่อย่างนั้นเค้าก็ส่งข้อมูลให้กับคุณไม่ได้ดังนั้นมันก็เลย จะเปรียบเสมือนกับการที่ว่าคุณเปลี่ยนจากการเชื่อใจผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP) ของคุณมาเป็นเชื่่อใจผู้ให้บริการ VPN แทนแต่ก็จะมีผู้ให้บริการ VPN บางเจ้าที่เค้าโฆษณาว่า "เราไม่เก็บข้อมูลลูกค้าคุณจะส่งไปไหนเราไม่บันทึกอะไรไว้ทั้งนั้น"
ดังนั้นเวลามีใครมาขอดูข้อมูลของคุณเราก็ไม่มีให้ซึ่งอันนี้ ก็จะอยู่ที่ว่าคุณเชื่อใจ VPN นี้รึเปล่าเพราะว่าบางทีเค้าอาจจะเก็บอะไรบางอย่างไว้แล้วก็อาจจะตามได้ถ้าเกิดรัฐบาลขอดูเค้าอาจจะให้ก็แล้วแต่เคส แต่ว่าตอนนี้ที่แน่ๆก็คือตอนนี้รัฐบาลเริ่มจะบังคับให้ผู้ให้บริการ VPN ทำการเก็บ log ข้อมูลของผู้ใช้ไว้ด้วย เวลาที่จะข้อดูจะได้ขอดูได้เจ้าไหนถ้าไม่เก็บอาจจะต้องโดนปิดอันนี้ก็เป็นเรื่องของกฏหมาย แต่ว่าจริงๆแล้วถ้าเกิดว่าจะเคลมเรื่องของ VPN กับ Security ผมว่ามันอาจจะช่วยได้ไม่เยอะมันอาจจะเพิ่มขั้นตอนมาหน่อยแต่ถ้าเกิดว่าเค้าจะขอดูขึ้นมา มันก็ได้อยู่ดี ดังนั้นเรื่องของความปลอดภัยก็อาจจะช่วยได้บ้างแต่ว่าจะไม่กับที่เค้าโฆษณาแน่นอน
เรื่องของความปลอดภัยของข้อมูล
อย่างเข่นถ้าเค้าบอกว่า " มันสามารถปกป้องข้อมูลบัญชีบัตรเครดิต บัญชีธนาคารที่เราส่งกันได้ เราเข้ารหัสแบบ 256 bit ปลอดภัยชัว ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตไม่มีสิทธิ์เห็นข้อมูลคุณอย่างแน่นอน " คือเรื่องของการที่ VPN เข้ารหัสข้อมูลให้คุณจริงๆเป็นเรื่องจริงแต่สิ่งที่เค้าไม่ได้บอกคุณก็คือว่าตอนนี้เว็บต่างๆเรื่องของความปลอดภัยประมาณ 80% เค้าเข้ารหัสให้คุณอยู่แล้วคือการเข้ารหัสของเว็บตอนนี้เป็นมาตรฐานของการสร้างเว็บไซต์แล้วคือพวกที่ยังไม่เข้ารหัสคือพวกที่เป็นเว็บเก่าที่เค้าไม่ทำแล้ว
อันนี้เราเช็คได้จาก Web Browser ของเราที่จะเป็นรูปแม่กุญแจรึว่าการใช้ https "S มาจาก Security "แปลว่าปลอดภัยก็คือเข้ารหัสเรียบร้อย ดังนั้นถ้าคุณใช้เว็บไซต์เหล่านี้ข้อมูลที่คุณส่งข้อมูลบัตรเคริตข้อมูลธนาคารของคุณมันถูกเข้ารหัสเรียบร้อยแล้วไม่ต้องใช้ VPN ก็ได้ก็คือว่าก็เกิดว่าคุณเว็บที่เป็น https ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตก็อ่านข้อมูลคุณไม่ได้แล้ว ถ้าเกิดว่าคุณใช้ VPN เข้าเว็บไซต์เหล่านี้เค้าก็จะเอาข้อมูลของคุณที่เข้ารหัสแล้วนี้ไปเข้ารหัสอีกรอบบางคนอาจแบบว่าปกป้องสองชั้นเพิ่มความมั่นใจอันนี่้ก็แล้วแต่คุณเลย
เล่นเกมส์นอก ping น้อยลงจริงมั้ย
ก็อาจจะจริงก็คือแล้วแต่เจ้าแล้วแต่เกมส์ถ้าเกิดผู้ให้บริการ VPN เอา Gateway ไปตั้งไว้ใกล้ๆกับ Server Game บางทีใช้งานผ่าน VPN อาจจะเร็วกว่าใช้งานทั่วไปแต่ถ้าเกิดว่า Gateway อยู่ห่างจาก Server Game บางทีอาจจะช้าลงก็ได้อันนี้มันแล้วแต่มันเป็นไปได้แต่ไม่เสมอไปแต่ก็ต้องให้เครดิตกับผู้ให้บริการ VPN ที่เค้าทำมาเพื่อเกมส์โดยเฉพาะก็คือเค้าจะเอา Gateway ไปวางไว้ใกล้ๆกับ Server Game ให้ได้มากที่สุด VPN บางเจ้าสามารถที่จะเลือกเกมส์ได้เลยว่าคุณอยากจะเล่นเกมส์อะไร Server ไหนเค้าจะจัดการให้ให้เหมาะสมที่สุดอันนี้ก็แล้วแต่เจ้านะครับ
สรุปก็คือ VPN ( Virtual Private Network ) อาจจะทำให้ Packet ของคุณ รับและส่งได้เร็วขึ้นหรือช้าลงก็ได้แล้วแต่ผู้ให้บริการ VPN เรื่องของ Privacy ทำให้มันดีขึ้นมาอาจจะดีขึ้นมานึดหน่อยแต่ก็ดีกว่าปล่อยไปเฉยๆอันนี้แล้วแต่คนจะคิด
เรื่อง Security ลืมไปได้เลยมันไม่ใช่ ประโยชน์ที่เห็นผลมากที่สุดจากการใช้ VPN ที่คือการมุด ถ้าเกิดว่าคุณอยากจะเข้าถึงคอนเท็นที่คุณเข้าไม่ได้จากประเทศเราอยากจะมุดไปออกที่อื่นอันนี้สิคือการใช้งานหลักของ VPN และคุณภาพของ VPN ในแต่ละผู้ให้บริการก็จะแตกต่างกันไปอันนี้คุณก็ต้องลองว่าเจ้านี้ดีมั้ยหรือว่าเจ้านั้นดีกว่าแหละนี้ก็คือเรื่องราวทั้งหมดของ VPN คืออะไร?